เลือกบริการส่งของไปอเมริกากับ iexpressbyDHL

การส่งของไปอเมริกา คือประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นปลายทางการขนส่งที่สำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด ซึ่งปัจจุบันธุรกิจการส่งออกหรือขายสินค้าออนไลน์ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก การส่งสินค้าถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของคนไทยเลยก็ว่าได้ ทั้งส่งเอกสา พัสดุ ส่งของจากร้านค้าต่าง ๆ แต่ก็มีผู้ให้บริการขนส่งสินค้ามากมายจนเลือกไม่ถูก แต่วันนี้จะมาแนะนำบริษัทขนส่งนั้นก็คือ DHL เพื่อให้การส่งของไปอเมริกาของคุณนั้นง่ายขึ้น

ในยุคที่การตลาดออนไลน์มาแรง การซื้อขายออนไลน์เติบโตทุกปี พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการซื้อสินค้าและบริการบนเว็บไซต์มากขึ้น ทำธุรกรรมออนไลน์และการส่งของออนไลน์มากขึ้น ด้วยอัตราการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ที่มากขึ้นทุกวัน พร้อมกับการแข่งขันที่ดุเดือด ธุรกิจร้านค้าต่างๆ จึงมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นที่จะต้องลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในเรื่องของราคาและกลยุทธ์การตลาดส่งเสริมการขาย หนึ่งในนั้นคือการลดต้นทุนการจัดส่งสินค้า ทั้งการจัดส่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และการส่งของต่างจังหวัดราคาถูก ซึ่งนอกเหนือจากการคำนึงถึงราคาแล้ว การบริหารจัดการที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างยั่งยืน

DHL เป็นบริษัทเยอรมันให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยมีการขนส่งหลายอย่างตั้งแต่การขนส่งเอกสาร จดหมาย สิ่งของ รวมไปถึงตู้คอนเทนเนอร์ DHL ประกอบด้วยสามหน่วยงานหลักได้แก่ ดีเอชแอลเอกซ์เพรส ดีเอชแอลดานซาสแอร์แอนด์โอเชียน และดีเอชแอลโซลูชันส์ มีบริการจัดส่งพัสดุต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและระหว่างประเทศ มีบริการจัดส่งครอบคลุมมากกว่า 220 ประเทศ

เงื่อนไขการจัดส่งของไปอเมริกา

– ไม่จำกัดจำนวน และน้ำหนักการส่งต่อครั้ง

– ความยาวของสิ่งที่ต้องการส่งไม่เกิน 220 ซ.ม.

– ไม่รับส่ง สิ่งผิดกฎหมายทุกประเภท วัตถุอันตราย

– การจัดส่งของเหลว น้ำยา สารเคมี ต้องแสดงเอกสารประกอบรับรอง (MSDS) จากผู้ผลิตแนบไปกับสินค้าที่จะจัดส่ง

– การจัดส่งของไปอเมริกาหรือต่างประเทศทุกชนิด ต้องผ่านพิธีการนำเข้าศุลกากรที่ประเทศปลายทาง ซึ่งอาจมีค่าภาษีนำเข้าเกิดขึ้นที่ประเทศปลายทาง

– ในกรณีที่เกิดค่าภาษีปลายทางผู้รับปลายทางจะต้องเป็นผู้เสียภาษีขาเข้าของปลายทางนั้นเอง

– กรมศุลกากรของประเทศปลายทางเรียกเก็บค่าภาษีนำเข้า ตามเปอร์เซ็นของแต่ละพิกัดสินค้า และอัตราค่าภาษี ขาเข้าของแต่ละประเทศนั้นต่างแตกกัน

– การประกันสินค้า ทุกชิปเม้นมีประกันในตัว 750 บาท/กก. เพื่อประกันสินค้าเกิดสูญหายหรือเสียหาย หากลูกค้า ต้องการทำประกันเพิ่มเติมสามารถซื้อประกันเพิ่มในมูลค่า 2.5% ของราคาสินค้าจริง หรือขั้นต่ำ 500 บาท ซึ่งครอบคลุมการคุ้มครองไม่เกิน 20,000 บาท

– การเคลมประกันขนส่งในกรณีสูญหายเสียหาย ลูกค้าต้องมีการแจ้งเข้ามาไม่เกิน 7 วันหลังจากวันที่สินค้า ไปถึงปลายทางเรียบร้อยแล้ว ต้องมีรูปภาพในกรณีที่สินค้าเสียหายจากการขนส่งโดยสภาพที่สินค้าที่เสียหายนั้น ยังคงอยู่ในแพคเกจเดิมที่ขนส่งจากต้นทางมาสู่ปลายทาง

– ค่าบริการเพิ่มเติม

– การนำส่งไปยังพื้นที่ห่างไกล (Remote Area) มีค่าบริการเพิ่มขั้นต่ำ 900 บาท หรือ กิโลกรัมละ 25 บาท สามารถตรวจสอบพื้นที่การนำส่งห่างไกล จากรหัสไปรษณีย์และชื่อเมือง

– พัสดุขนาดใหญ่มาก (Over Size) คือ มีขนาดของด้านใดด้านหนึ่งของบรรจุภัณฑ์เกินกว่า 120 ซม. มีค่าบริการเพิ่ม 1,000 บาท ต่อการจัดส่ง

– บรรจุภัณฑ์ที่มีน้ำหนักมากเกิน (Over Weight) คือ มีน้ำหนักเกินกว่า 70 Kg. ต่อชิ้น มีค่าบริการเพิ่ม 1,000 บาท

– บริการบรรจุสินค้าลงกล่องกระดาษมีค่าบริการขั้นต่ำ 50 บาทต่อกล่อง หรือ 10 บาทต่อกิโลกรัม